Skip to content

การเพิ่มความรู้ด้านสื่ออย่างต่อเนื่อง

  • by

บทนำ

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ส่งผลให้ภูมิทัศน์ของสื่อมีการปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งในแง่ของรูปแบบ เนื้อหา และวิธีการเข้าถึงของผู้บริโภค สิ่งที่เคยคุ้นเคยอย่างสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์แบบเดิมๆ ต่างก็ถูกท้าทายจากสื่อใหม่ ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ข่าว บล็อก สื่อสตรีมมิ่ง หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนานาชนิด ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีเหล่านี้ยังส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อพฤติกรรมและทัศนคติของผู้คนในการรับข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น การบริโภคข่าวสารแบบทันทีทันใด การมีส่วนร่วมในการสร้างและเผยแพร่เนื้อหา หรือกระทั่งการปักหลักอยู่ในห้องสะท้อนความคิด (Echo Chamber) ที่ตอกย้ำมุมมองเดิม ๆ ของตัวเองผ่านอัลกอริทึม

การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลครั้งใหญ่นี้ ไม่เพียงสร้างโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ยังนำมาซึ่งความท้าทายมากมายต่อทักษะการรอบรู้ด้านสื่อ (Media Literacy) ของพลเมืองยุคใหม่ ความสามารถในการเข้าถึง วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างสรรค์สื่อที่เคยเรียนรู้มา ดูจะไม่เพียงพออีกต่อไปในโลกที่ข้อมูลข่าวสารท่วมท้นเกินกว่าจะคัดกรอง และอัลกอริธึมของสื่อสังคมออนไลน์คอยกำหนดความคิดของผู้ใช้อยู่เสมอ “การรอบรู้ด้านสื่ออย่างต่อเนื่อง” (Continuous Media Literacy) จึงกลายเป็นทักษะจำเป็นสำหรับทุกคน ในการปรับตัวให้ทันกับพลวัตของสื่อและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อให้สามารถรู้เท่าทัน ใช้ประโยชน์ และรับมือกับผลกระทบของสื่อได้อย่างมีประสิทธิผล

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการเรียนรู้ด้านการรอบรู้ด้านสื่ออย่างต่อเนื่อง ในการทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมสื่อสมัยใหม่ ผ่านการสำรวจภูมิทัศน์สื่อที่กำลังเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อผู้บริโภค การอธิบายหลักการเรียนรู้ตลอดชีวิตในเรื่องการรอบรู้ด้านสื่อ และตัวอย่างแหล่งเรียนรรู้ออนไลน์ที่จะช่วยพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ผู้เขียนหวังว่าการทำความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อเรื่องนี้ จะช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักต่อความสำคัญของการพัฒนาตนอย่างสม่ำเสมอในด้านการรู้เท่าทันสื่อ และมีแรงบันดาลใจที่จะมุ่งมั่นเรียนรู้เรื่องนี้ตลอดชีวิต ท้ายที่สุดแล้ว การรู้เท่าทันสื่ออย่างต่อเนื่องไม่เพียงเป็นทักษะสำคัญเพื่อตัวเราเท่านั้น หากยังเป็นพลังขับเคลื่อนชุมชนและสังคมให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล ซึ่งถือเป็นหัวใจของการสร้างสภาพแวดล้อมทางข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีความรับผิดชอบต่อผู้ใช้ทุกคนอย่างแท้จริง

การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อและผลกระทบต่อผู้บริโภค

การปฏิวัติดิจิทัลได้เปลี่ยนโฉมหน้าของแพลตฟอร์มสื่อแบบดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จากสื่อสิ่งพิมพ์ไปสู่สื่อดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ผันตัวมาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ การเกิดขึ้นของสื่อสตรีมมิ่งที่ท้าทายการให้บริการของสื่อกระจายเสียงและโทรทัศน์แบบเดิม ไปจนถึงกระแสความนิยมของโซเชียลมีเดียที่เข้ามามีบทบาทในการกระจายข่าวสารแทบจะทุกด้านของชีวิต ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมสื่อ ที่ไม่เพียงปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตและเผยแพร่เนื้อหา แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคสื่ออย่างถอนรากถอนโคน

ในแง่ผลกระทบต่อผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงของสื่อได้สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายหลายประการ ในด้านบวก ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่มากมายมหาศาลได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทุกคนสามารถกลายเป็นผู้ผลิตเนื้อหาและมีส่วนร่วมในการสนทนาสาธารณะได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ ทั้งยังมีทางเลือกที่หลากหลายและตอบโจทย์เฉพาะบุคคลมากขึ้น อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของปริมาณข้อมูลข่าวสารก็นำมาซึ่งความท้าทายในการจัดการและคัดกรองเช่นกัน ผู้คนต้องเผชิญกับภาวะ “ข้อมูลท่วมท้น” (Information Overload) ซึ่งยากต่อการประมวลผลและใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากนี้ เทคโนโลยีอัลกอริทึมที่ใช้ในการปรับแต่งเนื้อหาตามความสนใจของผู้ใช้แต่ละราย ก็ก่อให้เกิดความกังวลในหลายด้าน แม้จะช่วยให้ผู้คนได้รับข้อมูลที่ตรงใจ แต่ในอีกด้านก็ทำให้คนเราได้รับข้อมูลที่จำกัดและมีแนวโน้มจะตอกย้ำทัศนคติเดิมๆ ของตนเอง จนเกิดเป็นห้องสะท้อนเสียงที่ปิดกั้นมุมมองที่หลากหลาย และอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือการแบ่งขั้วทางความคิดในที่สุด ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือความยากลำบากในการแยกแยะระหว่างเนื้อหาที่มีคุณภาพกับข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอม ด้วยความที่ทุกคนสามารถเผยแพร่ข่าวสารได้อย่างอิสระ จึงเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมคุณภาพของเนื้อหาบนสื่อใหม่ ซึ่งหากผู้ใช้ขาดทักษะในการคิดวิเคราะห์และตรวจสอบที่มาของข้อมูล ก็อาจกลายเป็นเหยื่อของข้อมูลเท็จและตกอยู่ในความเชื่อที่บิดเบือนได้โดยง่าย

จากสถานการณ์ดังกล่าว ผู้บริโภคจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสื่อที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องนี้ การพัฒนาทักษะความรอบรู้ด้านสื่อให้ทันสมัยอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ทั้งในแง่ของการปรับพฤติกรรมการบริโภคสื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและข้อจำกัดของตน การมีความรู้เชิงลึกต่อกลไกการทำงานของเทคโนโลยี การคิดอย่างมีวิจารณญาณต่อเนื้อหาที่ได้รับ รวมไปถึงการใช้สื่อเพื่อแสวงหาข้อมูลได้อย่างตรงเป้าหมาย หากเรามัวแต่ใช้สื่อแบบเดิมๆ โดยไม่ได้ฝึกฝนตนเองให้เรียนรู้เครื่องมือและเทคนิคใหม่ๆ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เราก็จะกลายเป็นผู้บริโภคที่เปราะบางและตกเป็นเหยื่อของสื่อได้ง่าย ในทางตรงกันข้าม การพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลท่วมท้นได้อย่างชาญฉลาด แยกแยะเนื้อหาที่มีคุณภาพ รวมถึงสร้างสรรค์และส่งต่อข้อมูลได้อย่างเกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม นี่คือภารกิจพื้นฐานของพลเมืองที่รู้เท่าทันยุคดิจิทัล ซึ่งต้องมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสื่อ และมุ่งมั่นพัฒนาตนเองให้ก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง

การเรียนรู้ตลอดชีวิตในการรอบรู้ด้านสื่อ

ในโลกที่สื่อและเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง การรอบรู้ด้านสื่อจึงไม่ใช่ทักษะที่จบสิ้นเมื่อเรียนรู้ครั้งเดียว หากแต่เป็นกระบวนการที่ต้องใฝ่หาความรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต แนวคิดนี้เรียกว่า “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Lifelong Learning) ซึ่งมองว่ามนุษย์มีศักยภาพและความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใด เพื่อให้สามารถพัฒนาทักษะ ปรับตัวให้เข้ากับบริบทของสังคม และเติบโตทางปัญญาอย่างไม่สิ้นสุด

เหตุผลสำคัญที่การรอบรู้ด้านสื่อต้องอาศัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต ก็เพราะธรรมชาติของสื่อและเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน สิ่งที่เคยรู้และเข้าใจเมื่อวานนี้ อาจล้าสมัยและไม่เพียงพอสำหรับการรับมือกับความท้าทายของวันนี้และวันพรุ่งนี้ เราจึงต้องติดอาวุธทางปัญญาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ด้วยการติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยี เพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มของสื่อ และฝึกทักษะที่จำเป็นในการใช้สื่อรูปแบบใหม่ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เรารักษาความสามารถในการปรับตัวเท่าทันการเปลี่ยนแปลง และไม่ตกขบวนของยุคสมัย

ทักษะการรอบรู้ด้านสื่อที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั้นมีหลากหลายด้าน นับตั้งแต่ความสามารถขั้นพื้นฐานอย่างการเข้าถึง ไปจนถึงทักษะขั้นสูงอย่างการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การประเมินแหล่งข่าวสาร และการสร้างสรรค์เนื้อหาอย่างมีคุณภาพ ทั้งหมดนี้เป็นทักษะที่มีพลวัตและจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอยู่เสมอ

ในเบื้องต้น การตั้งคำถามและตรวจสอบข้อมูลอย่างสงสัยใคร่รู้ ควรเป็นสัญชาตญาณที่ติดตัวเราไปในทุกยุคทุกสมัย และควรนำไปผสมผสานเข้ากับการเรียนรู้เครื่องมือและเทคนิคใหม่ ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถตรวจสอบ กลั่นกรอง และสังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เรายังต้องมีความรู้เท่าทันต่อนวัตกรรมด้านสื่อที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี VR/AR ปัญญาประดิษฐ์ที่นำมาใช้ในงานสื่อ เป็นต้น เพื่อให้เข้าใจถึงกลไกการทำงาน ข้อดีข้อเสีย และใช้งานได้อย่างถูกต้องปลอดภัย

ตัวอย่างของการนำการเรียนรู้การรู้เท่าทันสื่อไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การฝึกใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ในการประเมินข่าวสารและโพสต์บนโซเชียลมีเดีย การอ่านบทวิเคราะห์หรือฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสำนักเพื่อเปรียบเทียบมุมมองในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การตรวจสอบที่มาของภาพหรือคลิปที่แชร์กันในกลุ่มไลน์ก่อนส่งต่อ หรือการค้นหาข้อมูลประกอบเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ก่อนตัดสินใจหรือแสดงความเห็นต่อประเด็นข่าวใหญ่ทางการเมือง แนวปฏิบัติง่ายๆ เหล่านี้ หากทำเป็นนิสัยจนชำนาญ จะเพิ่มพูนภูมิคุ้มกันภัยให้กับเราได้มากในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ความตระหนักถึงความจำเป็นในการเรียนรู้เรื่องการรอบรู้ด้านสื่อตลอดชีวิตเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือการลงมือทำจริงอย่างมุ่งมั่นและสม่ำเสมอ การจัดสรรเวลาเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ และทำความเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ ๆ ต้องถูกจัดให้อยู่ในลำดับความสำคัญเดียวกับการศึกษาหรือพัฒนาตนเองในด้านอื่น ๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต การรอบรู้ด้านสื่อจึงไม่ใช่เพียงความรู้ที่น่าจะมี แต่เป็นความรู้และทักษะที่ “ต้องมี” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากเราต้องการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในยุคข้อมูลข่าวสาร

แน่นอนว่าการปลูกฝังความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยเวลา ความอดทน และแรงจูงใจอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นก็เป็นหนทางเดียวที่เราจะสามารถรักษาความสามารถในการปรับตัวและตามทันความเปลี่ยนแปลงได้จริงในระยะยาว เราต้องมุ่งมั่นสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ยั่งยืน ทำให้การเรียนรู้สอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิต ด้วยวิธีที่เหมาะกับบริบทและความพร้อมของแต่ละคน ไม่ว่าจะเรียนรู้ด้วยตนเอง เข้าร่วมหลักสูตรอบรม หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชุมชน และสำคัญที่สุด เราต้องปลูกจิตสำนึกและทัศนคติที่ดีต่อการศึกษาในเรื่องนี้ ให้มองว่าการเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องของการถูกบังคับ แต่ความรู้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงได้รับ และการลงทุนที่ดี ที่มีคุณค่าต่อตัวเราเอง ที่แม้จะไม่ได้ผลลัพธ์ทันที แต่จะติดตัวและให้ผลตอบแทนในระยะยาว ช่วยเพิ่มพูนศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเราในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน

แพลตฟอร์มการเรียนรู้เพื่อความรอบรู้ด้านสื่ออย่างต่อเนื่อง

ในยุคที่เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเปิดกว้าง การเข้าถึงความรู้ในเรื่องความรอบรู้ด้านสื่อนั้นง่ายและสะดวกยิ่งกว่าที่เคย มีบทเรียนออนไลน์ เครื่องมือ และชุมชนออนไลน์มากมายที่พร้อมให้ทุกคนได้เรียนรู้ด้วยตนเองได้ตลอดเวลา จากทุกที่ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นับเป็นโอกาสอันดีที่เราทุกคนจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในช่องทางยอดนิยมในการเรียนรู้คือคอร์สออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มการศึกษาชั้นนำระดับโลก เช่น Coursera, edX, Udemy ส่วนในประเทศไทยก็มือ Tmfmooc และ Chulamooc เว็บไซต์เหล่านี้รวบรวมหลักสูตรเกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อที่สอนโดยผู้เชี่ยวชาญและมหาวิทยาลัยชั้นนำ ซึ่งออกแบบมาเพื่อพัฒนาทักษะตั้งแต่ระดับเบื้องต้นไปจนถึงขั้นสูง แบ่งเป็นหัวข้อย่อยที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการคิดเชิงวิพากษ์ การตรวจสอบข้อเท็จจริง ความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ การใช้สื่อเพื่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง จนถึงทักษะการสร้างสรรค์เนื้อหาดิจิทัล ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกศึกษาได้ตามความสนใจและระดับความรู้ของตน นอกจากนี้ องค์กรชั้นนำด้านการรู้เท่าทันสื่อหลายแห่งยังมีการจัดเสวนาหรือเวิร์คช็อปออนไลน์ (Webinar) ฟรีเป็นระยะ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประเด็นหรือเทคโนโลยีสื่อที่ทันสมัยอยู่เสมอ เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเพิ่มพูนความรู้ที่น่าสนใจ

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือโต้ตอบออนไลน์และเกมจำลองที่ถูกออกแบบมาเพื่อฝึกทักษะการรู้เท่าทันสื่อโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ Factitious (Factitious | RAND) ที่ให้ผู้เล่นได้ฝึกแยกแยะข่าวจริงออกจากข่าวปลอมด้วยการอ่านบทความต่างๆ แล้วเลือกว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวลวง Bad News Game (https://www.getbadnews.com/books/english/) ที่จำลองสถานการณ์ให้ผู้เล่นรับบทเป็นผู้สร้างข่าวปลอม เพื่อให้เข้าใจถึงกลยุทธ์ที่ใช้ในการผลิตข้อมูลเท็จ Interland เกมจาก Google (Interland (beinternetawesome.withgoogle.com)) ที่สอนเรื่องความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ผ่านด่านต่างๆ หรือ Fakey เกมจาก Indiana University (Fakey (iu.edu)) ที่ฝึกการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย เหล่านี้ล้วนเป็นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ที่จะทำให้ผู้เล่นได้ฝึกฝนทักษะที่จำเป็นผ่านเกมที่สนุกและท้าทายไปพร้อม ๆ กัน

 

สิ่งสำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งคือการเข้าร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนการเรียนรู้ออนไลน์ ที่รวมกลุ่มผู้คนที่สนใจในเรื่องการรู้เท่าทันสื่อเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบน Facebook หรือ X ของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ หรือกระทู้สนทนาบนเว็บบอร์ดต่าง ๆ พื้นที่เหล่านี้ช่วยให้เราสามารถอัปเดตข้อมูลข่าวสารและองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้อื่น ได้ถามคำถามหรือหาคำแนะนำเมื่อเกิดข้อสงสัย รวมไปถึงการสร้างแรงบันดาลใจและกำลังใจในการฝึกฝนทักษะอย่างต่อเนื่อง ในวงกว้าง ชุมชนออนไลน์เหล่านี้ยังสามารถขยายตัวกลายเป็นเครือข่ายพลเมืองที่ช่วยกันผลักดันวาระทางสังคมเกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อได้อีกด้วย แต่ขณะเดียวกัน เราก็จำเป็นต้องระมัดระวังและประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลแม้กระทั่งในพื้นที่เหล่านี้ เพราะอาจมีการแชร์ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือมีการแสดงความเห็นที่บิดเบือนปะปนอยู่บ้าง การนำหลักการรู้เท่าทันสื่อมาใช้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดจากการมีส่วนร่วมในชุมชนการเรียนรู้เหล่านี้

ในโลกออนไลน์ยุคปัจจุบัน ความรู้เรื่องการรู้เท่าทันสื่อนั้นเข้าถึงได้ง่ายด้วยแพลตฟอร์ม เครื่องมือ และทรัพยากรออนไลน์ที่หลากหลาย ทุกคนจึงมีโอกาสแทบจะเท่าเทียมกันในการที่จะเสริมสร้างทักษะเหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพียงแค่เราตระหนักและมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ ด้วยการหมั่นสำรวจแหล่งความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ จัดสรรเวลาเพื่ออ่านบทความ เข้าคอร์สออนไลน์ เล่นเกมจำลอง หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยหล่อเลี้ยงให้เราเติบโตและก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของสื่อและเทคโนโลยีไปพร้อม ๆ กัน เหมือนการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้กับตัวเองให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ ไม่ให้เป็นเพียงผู้ใช้ที่เฉื่อยชาและตกขบวน แต่เป็นพลเมืองที่กระตือรือร้นและมีภูมิต้านทานต่อภัยคุกคามบนโลกดิจิทัลที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

บทสรุป

จากที่ได้กล่าวมาตลอดทั้งบทความ จะเห็นได้ว่าในยุคที่ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องเช่นนี้ การรู้เท่าทันสื่อไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้ได้จบสิ้นภายในคราวเดียว หากแต่เป็นทักษะที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การปฏิวัติทางดิจิทัลได้ทลายขอบเขตของสื่อแบบเดิม นำมาซึ่งทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ต่อผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายมากขึ้น พลังในการสร้างและแบ่งปันเนื้อหา ไปจนถึงความเสี่ยงจากข้อมูลเท็จและอัลกอริทึมที่ปิดกั้นมุมมองของผู้ใช้ การปรับตัวให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

การรอบรู้ด้านสื่อและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นหัวใจของการปรับตัวข้างต้น เราไม่อาจยึดติดกับองค์ความรู้หรือทักษะชุดเดิม ๆ ไปตลอดได้ในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การมีทัศนคติของการเรียนรู้ตลอดชีวิต การฝึกฝนทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณอยู่เสมอ การอัปเดตความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการนำทักษะเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ในบริบทต่าง ๆ ของชีวิตประจำวัน จึงเป็นวิถีของการดำรงอยู่อย่างชาญฉลาดในยุคข้อมูลข่าวสาร ยิ่งเราเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเท่าใด เราก็จะยิ่งสามารถรับประโยชน์จากสื่อ ขณะเดียวกันก็ป้องกันโทษที่อาจเกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า โชคดีที่ในยุคสมัยนี้ การเข้าถึงแหล่งความรู้ในเรื่องการรู้เท่าทันสื่อนั้นง่ายดายเป็นอย่างมาก ด้วยคอร์สออนไลน์ เครื่องมือเชิงโต้ตอบ เกมจำลองสถานการณ์ และชุมชนแห่งการเรียนรู้ออนไลน์ ทุกคนจึงมีโอกาสที่เท่าเทียมกันในการสร้างเสริมทักษะเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง ขอเพียงมีเจตจำนงและความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้อย่างจริงจังเท่านั้น การเรียนรู้ไม่ได้ทางเลือก แต่กลายเป็นทางรอดสำหรับทุกคนในการพัฒนาตนเองให้ทันโลก เราทุกคนจึงมีหน้าที่ต้องเสาะแสวงหาและใช้ประโยชน์จากแหล่งความรู้เกี่ยวกับสื่อบนออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถปรับตัวและรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ในโลกของสื่อได้อย่างมั่นใจ

การรู้เท่าทันสื่ออย่างต่อเนื่องไม่ได้เป็นประโยชน์แค่กับตัวเราเท่านั้น หากยังเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและมีภูมิคุ้มกันในยุคดิจิทัลด้วย สังคมที่ประกอบด้วยพลเมืองจำนวนมากที่ตื่นตัว กระตือรือร้นในการเรียนรู้ สามารถคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ ไม่หลงเชื่อข้อมูลเท็จได้ง่ายๆ และร่วมกันผลักดันบรรทัดฐานของการสื่อสารที่มีคุณภาพ ย่อมเป็นสังคมที่มีเสถียรภาพ เป็นธรรม และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า ในทางกลับกัน สังคมที่ขาดการรู้เท่าทันสื่อในวงกว้าง ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกครอบงำ บิดเบือน หรือแบ่งขั้วได้ง่ายจากอิทธิพลของข้อมูลเท็จและการชักจูงผ่านสื่อ ดังนั้น การสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ที่ยั่งยืนในเรื่องนี้จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเราทุกคน

สำหรับผู้ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ การรู้เท่าทันสื่ออาจดูเป็นเรื่องใหญ่โตเกินตัวในตอนแรก แต่ขอให้มั่นใจได้เลยว่าทุกการเดินทางย่อมเริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ ก้าวแรก เพียงเราเริ่มต้นจากจุดที่เรายืนอยู่ ค่อย ๆ สั่งสมองค์ความรู้ เสริมสร้างทักษะทีละเล็กละน้อย ด้วยความอดทนและมุ่งมั่น เราก็จะค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใช้สื่อที่ฉลาดและมีภูมิต้านทานมากขึ้นไปทุกวัน แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่หยุดเดิน ต้องเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ เพราะโลกก็ไม่เคยหยุดเปลี่ยนแปลงเช่นกัน การมีใจที่เปิดกว้าง พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ และกระตือรือร้นที่จะปรับตัว คือทักษะที่ทรงพลังที่สุดที่จะทำให้เราเป็นผู้เล่นที่สำคัญในโลกยุคดิจิทัล ที่สามารถช่วยขับเคลื่อนสังคมให้เต็มไปด้วยพลเมืองที่ตื่นรู้ มีวิจารณญาณ และร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่มีคุณภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป นั่นคือพลังแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่จะเปลี่ยนทั้งโลกทัศน์ของเราและทิศทางของสังคม การรู้เท่าทันสื่ออย่างต่อเนื่อง จึงเป็นทั้งสิทธิและหน้าที่ที่พลเมืองยุคดิจิทัลอย่างเราทุกคนพึงมีนั่นเอง

มาสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในเรื่องการรู้เท่าทันสื่อกันเถอะ

หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจถึงความจำเป็นของการเสริมสร้างทักษะการรู้เท่าทันสื่ออย่างต่อเนื่อง พร้อมกับศึกษาแหล่งทรัพยากรสำคัญๆ ที่จะมาช่วยในการพัฒนาความรู้ได้ด้วยตนเองแล้ว ผู้เขียนขอเชิญชวนให้ผู้อ่านทุกท่านมาร่วมกันลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อนำพาตนเองและสังคมไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนต่อความเปลี่ยนแปลงของสื่อและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอให้เราทุกคนตระหนักว่า ทุกคนมีบทบาทสำคัญในการร่วมกันสร้าง “วัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต” ในเรื่องนี้ เพื่อจุดประกายแห่งการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในวงสังคม

เริ่มต้นจากการลงมือพัฒนาตนเองด้วยการสร้างนิสัยและทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้เรื่องการรู้เท่าทันสื่ออย่างสม่ำเสมอ ลองเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ใกล้ ๆ ตัวในแต่ละวัน เช่น

  • ใช้เวลาสัก 10-15 นาทีในการอ่านบทความหรือดูคลิปวิดีโอสั้นๆ เกี่ยวกับทักษะการคิดวิเคราะห์ข่าว
  • หมั่นตั้งคำถามกับข้อมูลที่เราพบเจอบนโซเชียลมีเดียว่ามาจากแหล่งใด มีที่มาอย่างไร
  • แลกเปลี่ยนความรู้หรือมุมมองเกี่ยวกับประเด็นข่าวสารกับเพื่อนๆ หรือครอบครัว
  • จดบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่ๆ เป็นประจำสัปดาห์

ทุกการกระทำเล็กๆ เหล่านี้ หากทำซ้ำๆ จนเป็นนิสัย จะสะสมเป็นพลังขับเคลื่อนให้เราเดินหน้าพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การวางแผนการเรียนรู้ให้เป็นระบบมากขึ้นก็มีส่วนช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ลองสำรวจตนเองว่าเราอยากพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อในด้านใดบ้าง จากนั้นค้นหาคอร์สออนไลน์หรือกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะกับระดับความรู้ ความสนใจ หรือสไตล์การเรียนรู้ของตัวเรา แล้ววางแผนการเข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอ เช่น

  • อ่านบทความอย่างน้อยเดือนละ 2-3 ชิ้น
  • เล่นเกมฝึกทักษะเดือนละครั้ง
  • เข้าร่วมเวิร์คช็อปหรือเสวนาออนไลน์ของผู้เชี่ยวชาญสัก 2-3 ครั้งต่อปี

การทำตารางเรียนรู้ของตัวเองให้เป็นรูปธรรม พร้อมกับกำกับติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์เป็นระยะๆ จะช่วยให้การพัฒนาศักยภาพของเรามีเป้าหมายชัดเจนและก้าวหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น

ต่อมา การมีส่วนร่วมในชุมชนแห่งการเรียนรู้เกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อ จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนเสริมการพัฒนาตนอย่างต่อเนื่อง การมีเพื่อนร่วมเรียนรู้ในสิ่งที่ตนสนใจ นอกจากจะทำให้ได้คิดได้แลกเปลี่ยนในมุมมองที่หลากหลายแล้ว ยังสร้างแรงกระตุ้นและพลังใจในการเดินหน้าฝึกฝนร่วมกัน ลองมองหาชุมชนการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเรา ทั้งบนโลกออนไลน์ เช่น

  • เข้าร่วมกลุ่มเฟซบุ๊กที่แชร์บทความหรือข่าวสารเกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อโดยเฉพาะ
  • ติดตามเพจของนักวิชาการหรือองค์กรชั้นนำด้านการรู้เท่าทันสื่อ
  • มีส่วนร่วมในชุมชนออฟไลน์ เช่น กลุ่มอ่านหนังสือ ชมรมอาสาสมัครด้านสื่อศึกษา
  • รวมตัวกับเพื่อนๆ เพื่อจัดตั้งกลุ่มเรียนรู้ในชุมชนของตนเองขึ้นมา

การมีชุมชนคอยเกื้อหนุนกันจะช่วยให้การเรียนรู้ของเราไม่โดดเดี่ยวและก้าวหน้าได้อย่างมีพลัง

นอกจากการพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมในชุมชนการเรียนรู้แล้ว สิ่งสำคัญอีกประการที่จะช่วยผลักดันให้เกิดวัฒนธรรมการเรียนรู้การรู้เท่าทันสื่ออย่างต่อเนื่องในภาพกว้างของสังคม ก็คือการช่วยกันเป็นผู้สื่อสารองค์ความรู้และแรงบันดาลใจเรื่องนี้ออกไปสู่คนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการชักชวนคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือคนรู้จักมาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน การแบ่งปันบทความหรือแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อบนโซเชียลมีเดียของเราเพื่อเผยแพร่ความรู้สู่วงกว้าง การเล่าประสบการณ์หรือบทเรียนจากการนำทักษะการรู้เท่าทันสื่อไปใช้จริงให้ผู้อื่นได้รับฟัง หรือแม้แต่การชวนลูกหลานในบ้านมาฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ผ่านการดูหนังหรือข่าวด้วยกัน

การเป็นผู้สื่อสารความรู้แบบนี้ ไม่เพียงจะช่วยจุดประกายความสนใจให้คนรอบข้างอยากเรียนรู้ตาม แต่ยังมีผลย้อนกลับมาต่อตัวเราด้วย ตรงที่เราจะยิ่งเข้าใจและเชี่ยวชาญในสิ่งที่เรียนรู้มากขึ้น เพราะได้ถ่ายทอดออกไป เหมือนคำกล่าวที่ว่า เราจะไม่เข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้ หากเรายังไม่ได้ลองอธิบายมันให้ใครฟัง

สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอฝากข้อคิดให้ผู้อ่านทุกท่านนำไปใคร่ครวญ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นและเดินหน้าเรียนรู้ในเรื่องสำคัญนี้อย่างต่อเนื่อง

  1. อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น แม้จะรู้สึกว่าเรายังมีพื้นฐานความรู้และทักษะน้อย ขอเพียงเริ่มต้น แล้วค่อยๆ ต่อยอดทีละนิด สักวันเราจะเก่งขึ้นอย่างแน่นอน
  2. เชื่อมั่นในศักยภาพการเรียนรู้ของตัวเอง แม้จะไม่ได้ทำได้สมบูรณ์แบบในทีแรก ขอเพียงยังทำอย่างสม่ำเสมอและไม่ย่อท้อ วันหนึ่งเราจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเรียนรู้อะไรก็ได้ในโลกใบนี้
  3. การเรียนรู้เรื่องสื่อไม่ได้ยากเกินความสามารถของใครทั้งนั้น หากเรามีหัวใจที่เปิดกว้าง กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และขยันหมั่นเพียร
  4. การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องคือหนทางเดียวที่จะทำให้เรากลายเป็นผู้ใช้สื่อที่ฉลาดและมีพลัง ที่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า
  5. การเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตคือสิ่งที่ควรภาคภูมิใจ เพราะเรากำลังลงทุนสร้างอนาคตที่ดีให้กับตัวเราเองและสังคมไปพร้อม ๆ กัน

เส้นทางแห่งการเรียนรู้การรู้เท่าทันสื่ออาจดูยาวไกล แต่เราไม่จำเป็นต้องเดินคนเดียว หากเราช่วยกันจุดประกายและส่งต่อแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ให้แก่กัน สักวันวัฒนธรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้ ก็จะค่อย ๆ แผ่ขยายไปสู่คนรอบข้างและชุมชนที่เราอยู่ จากจุดเล็ก ๆ สู่วงกว้างในที่สุด

และเมื่อสังคมเรากลายเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ที่ทุกคนมีภูมิปัญญาในการบริโภคสื่ออย่างชาญฉลาด มีวิจารณญาณในการคิดไตร่ตรอง และร่วมกันสร้างบรรทัดฐานของการสื่อสารที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคนไทยและบริบทประเทศไทยของเรา สังคมไทยก็จะเป็นสังคมที่น่าอยู่ ปลอดภัยและสร้างสรรค์ สำหรับทุกคน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *